นโยบายทวงคืนผืนป่าถูกใช้เพื่อรังแกคนจน?
ไม่มียุคไหน…ที่พื้นที่ “สีเขียว” ของประเทศไทยได้หวนกลับคืนมามากเท่ากับยุคของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่นโยบายและความปรารถนาดีเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ กลับถูกโจมตีโดยอ้างว่ารัฐบาลคสช. “รังแกคนจน” บ้างล่ะ หรือชาวบ้านกลายเป็น “เหยื่อ”ของกฎหมายบ้างล่ะ
เป้าหมายการวิพากษ์วิจารณ์แบบ “ตีขลุม” อ้างถึงคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 เรื่องการปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และฉบับสอง คำสั่งคสช.ที่ 66/2557 ระบุถึงแนวทางปฏิบัติตามนโยบายว่าคือ “วาระซ่อนเร้น” ให้คสช.รีดนาทาเร้นที่ดินจากชาวบ้าน
รวมถึงกรณี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตั้งหน่วยเฉพาะกิจ “พญาเสือ” ขึ้นรับลูกนโยบายของคสช.ลุยตรวจสอบและยึดคืนผืนป่าที่ถูกรุกรานอย่างไม่ถูกต้อง ที่สุด! ก็ไม่วายถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนกระแซะว่า “ใช้ความรุนแรง” บุกรุกยึดที่ดินทำกินของชาวบ้านตาดำๆ
ถ้าเลือกจริงคุณเข้าใจผิดแล้ว ความเป็นจริงนี่คือหนึ่งในความพยายามนำพื้นที่ป่าของประเทศ ซึ่งถูกบุกรุกและลดจำนวนลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องให้กลับคืนมา
คำสั่งคสช.ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ เป็นการระดมพลทุกหน่วยงานผสานความร่วมมือ ตัด “วงจรอุบาทว์” มุ่งโฟกัสไปที่การบุกรุกผิดกฎหมาย ลักลอบตัดไม้ แปรรูปและช่วยกันฟื้นฟูป่าให้กลับมาอยู่ที่ 40% ของประเทศภายใน 10 ปี
ขณะที่ คำสั่งคสช.ที่ 66/2557 เป็นเสมือน “คู่มือ” การปฏิบัติตามนโยบายทวงคืนผืนป่า ให้กับทุกๆ หน่วยงาน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ กำชับว่า “การดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้”
ดังนั้น เจตนารมณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จึงชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการรังแกคนจน แต่ต้องการขจัดคนที่รังแกทรัพยากรของชาติมากกว่า!
ส่วนกรณีทีมเฉพาะกิจพญาเสือ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชปฏิบัติงานอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2559 ได้ยึดคืนผืนป่าจากกลุ่มรีสอร์ทและผู้ลักลอบตัดไม้ไปแปรรูปได้นับหมื่นไร่ มิได้มีเจตนารังแกคนจนเหมือนดังที่ถูกกล่าวอ้าง บิดเบือน หรือเชื่อมโยงกับการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของรัฐบาลคสช.แต่ประการใดเช่นกัน